หลายคนเคยประสบกับประสบการณ์นี้นะครับ ว่าเอ๊ะทำไมเราลดน้ำหนักเองแล้วมันลดได้ยาก ลดได้น้อยจุงเบย แล้วดูคนที่เขาไปเข้าโปรแกรมลดน้ำหนักทำไมลดได้เยอะ ลดได้ไวจัง
งานนี้เป็นการศึกษาของ Tate และคณะ (2022) [1] โดยศึกษาเปรียบเทียบ ระหว่างการลดน้ำหนักด้วยวิธีลดน้ำหนักเอง (DIY) เปรียบเทียบกับการลดน้ำหนักตามโปรแกรมลดน้ำหนัก (Commercial Weight Management Program) ว่าจะลดน้ำหนักได้แตกต่างกันยังไงบ้าง
ศึกษายังไง ?
โดยเขานำอาสาสมัครมา 373 คน (ชาย 101 คน) อายุระหว่าง 18-75 ปี BMI ตั้งแต่ 25-45 โดยงานนี้เขาก็แยกกลุ่มวิจัยกระจายไปตามที่ต่างๆ ทั้งในสหรัฐ , แคนาดา และสหราชอาณาจักร แล้วก็แบ่งคนโดยการสุ่มออกเป็น 2 กลุ่ม เพื่อให้ไปทำการลดน้ำหนักด้วยวิธีที่ต่างกัน
กลุ่มแรกกลุ่ม DIY กลุ่มนี้คร่าวๆก็คือจะให้รับการอบรม ศึกษา การลดน้ำหนัก ด้วยวิธีต่างๆ ตามหลักการทั่วไป เป็นวิธีแบบมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับชัดเจน ไม่ใช่ Bro science คิดเองเออเอง
กลุ่มที่สองเขาก็ส่งต่อให้ไปเข้าโปรแกรมลดน้ำหนักเชิงธุรกิจ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย (ผู้วิจัยน่าจะจัดการให้) แต่เขาบอกว่า ทางศูนย์ลดน้ำหนักแต่ละที่ไม่รู้นะครับ ว่าส่งคนไปลดกับเขา แหม่ แบบนี้เหมือนส่งสายลับเข้าไปสืบวิธีการเขาเลย ๕๕
กลุ่มแรกดูจะเสียเปรียบนะครับ เพราะว่าไม่ได้เข้าโปรแกรมลดน้ำหนักฟรี ไม่ต้องกังวลครับ พอศึกษาครบ 1 ปี เขาแจ้งว่าจะมี voucher ให้กลุ่ม DIY ไปเข้าโปรแกรมลดน้ำหนักฟรี 1 ปีเช่นกัน 55
โปรแกรม Commercial เขาทำยังไง ?
โปรแกรมลดน้ำหนักที่ว่านี่เขาจะจัดทำระบบให้เป็นระบบ Point ของการกินและ Point ของการออกกำลังกาย โดยเท่าที่ไปดูรายละเอียดแล้ว จะเป็นการคิดคำนวณการทานต่างๆ จาก Guideline สุขภาพนี่แหละครับ แต่ว่าทำให้มันง่ายขึ้น และสุดท้ายที่เขาอธิบายไว้คือว่ามีเป้าให้เกิด Energy deficit อยู่ที่วันละ 750 แคล OMG
สิ่งที่น่าสนใจจากการทานของโปรแกรม Commercial เขาพบว่าโปรแกรมลดน้ำหนักแบบ Commercial มีรายการอาหารให้โดยมีคะแนนอาหารชนิดต่างๆ ถ้าเป็นอาหารที่มีคะแนน 0 คือกินเท่าไหร่ก็ได้ไม่ต้องชั่งน้ำหนัก ไม่ต้อง Track อาหารพวกนี้ก็เช่น ( Plant based protein , อกไก่ไม่เอาหนัง , ไข่ , โยเกิร์ต nonfat , อาหารทะเล , ผลไม้ แล้วก็ผักต่างๆ)
เขาบอกว่าอาหารพวกนี้คะแนนความอ้วนน้อย (สงสัยไม่รู้จักทุเรียน มะม่วงสุก และอื่นๆของบ้านเรา) มันมีโอกาสที่จะ overeat ได้น้อย ส่วนอาหารที่คะแนนมากกว่า 0 ให้ track ด้วย เพื่อให้เกิด calories deficit วันละ 750 แคลจาก TDEE ที่คำนวณด้วยสูตรของ Mifflin อย่างที่บอก
แล้วก็มีการกำหนดให้ทำกิจกรรมแต่ละสัปดาห์ให้ได้ตามเป้า Level of activity ที่นำไปคำนวณตามสูตรของ Mifflin มีการใช้รูปแบบของการปรับพฤติกรรม เปลี่ยน mindset วิธีต่างๆเข้ามาร่วมด้วยที่อยู่บนพื้นฐานของวิธีการบำบัดแบบ Cognitive behavioral , Acceptance-base และ Positive Psychology
ผลที่ได้คือ ?
อ่ะวาร์ปมาที่ผลนะครับ เขาก็พบว่าคนที่เข้าโปรแกรม Commercial เนี่ยลดน้ำหนักได้เยอะกว่ากลุ่ม DIY ครับ !! เมื่อดูช่วง 3 เดือนแรก กลุ่ม DIY ลดได้เฉลี่ยเกือบ 2 กิโล แต่กลุ่ม Commercial เนี่ยลดได้เฉลี่ย 4 กิโล และเมื่อดูไปที่ตอนครบปี กลุ่ม DIY ก็ลดต่อไม่ได้แล้ว กลุ่ม Commercial ลดได้เพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย (แต่ก็เริ่มลดไม่ลงแล้วเหมือนกัน)
สรุป
ในงานนี้เขาก็พบว่าโปรแกรม Commercial อ่ะมันง่ายกว่าที่จะทำตาม แล้วก็เลยทำให้ลดได้เยอะกว่ากลุ่ม DIY ซึ่งจะว่าไปมันก็จริง เพราะการทำเองบ่อยครั้ง มันก็ใช้ effort เยอะ บางคนทำเองยังไงก็ไม่ได้ แต่ให้คนอื่นบิ้ว คนอื่นบังคับอ่ะทำได้เฉย ๕๕ บางคนไม่รู้ไงว่าเบื้องหลังที่น้ำหนักลดได้เยอะ เกิดจากอะไร (อย่างในงานนี้ ก็ deficit ปาเข้าไป 750 แคล)
บางโปรแกรมมีการบิ้ว มีการสร้างแรงจูงใจหลังจากนั้นต่อไปอี๊กก แม่ลดให้ได้นะแม่นะ ลดแล้วเดี๋ยวแม่ก็ไปชวนคนมาลด ซื้ออาหารเสริมต่อจากแม่นะ เดี๋ยวแม่เข้าซูมสามสี่ครั้ง อบรมกับผู้เชี่ยวชาญ (ทึ่พึ่งอบรมซูมมาก่อนแม่ไม่นานนี่แหละ) แม่ก็จะเป็นโค้ชนะแม่นะ ฮี่ๆ ไม่ได้ว่าไรนะ ถ้าแนะนำกันดีๆ มันก็ดีย์ ๕๕๕
อ้างอิง
- Tate, D. F., Lutes, L. D., Bryant, M., Truesdale, K. P., Hatley, K. E., Griffiths, Z., Tang, T. S., Padgett, L. D., Pinto, A. M., Stevens, J., & Foster, G. D. (2022). Efficacy of a Commercial Weight Management Program Compared With a Do-It-Yourself Approach: A Randomized Clinical Trial. JAMA network open, 5(8), e2226561. https://doi.org/10.1001/jamanetworkopen.2022.26561
