ลดความอ้วนห้ามกินข้าว กินข้าวทำให้อ้วน จริงหรือ ??

ลดน้ำหนักไม่ควรกินคาร์โบไฮเดรต ลดความอ้วนไม่ควรกินข้าว จริงๆแล้วมันเป็นยังไง กินข้าวทำให้อ้วนเหรอ งานชิ้นนี้จะเปิดโลกให้คุณเห็นอะไรใหม่ๆ (ที่เขาทำมานานแล้ว)


ลดความอ้วนห้ามกินข้าว กินข้าวทำให้อ้วน จริงหรือ ??

วันนี้ขอนำงานคลาสสิคในตำนานมาฝากกันนะครับ เป็นงานในลักษณะ Case report ของหมอ Kempner และคณะ (1975) [1] ซึ่งเขาใช้วิธีที่เรียกว่า Rice/Reduction Diet Program ในการลดความอ้วนให้กับผู้ป่วยที่มาเข้าโปรแกรมของเขา ใช่ครับ Rice Diet มันคือการทานข้าวนั่นแหละ

Kempner และคณะ (1975)

กลุ่มตัวอย่างคือใคร ?

ในงานชิ้นนี้เขานำข้อมูลจากผู้ที่มีภาวะอ้วนมากจำนวน 106 คนมาลดน้ำหนัก ซึ่งก็คัดมาจากผู้ที่มารักษากับหมอ Kempner (จำนวนเท่าไหร่ไม่ได้บอก) คนที่เข้าเกณฑ์ที่เขานำมานำเสนอเนี่ยลดได้อย่างน้อย 45kg เป็นผู้ชาย 47 คน ผู้หญิง 59 คน อายุตั้งแต่ 16.6 ถึง 65.1 ปี เฉลี่ย 34.2 เขาก็นำมาชั่งน้ำหนัก ดูข้อมูลรูปร่างต่างๆ เก็บตัวอย่างเลือด

ลดน้ำหนักด้วยวิธีไหน ?

วิธีการที่ให้ลดน้ำหนักคือ Rice/Reduction Diet ให้กินข้าวแล้วก็ลดพลังงานลง โดยเฉลี่ยให้กินที่ระดับพลังงาน 400-800 แคลต่อวัน ใช่ครับ 400-800 อ่านไม่ผิด 55 น้อยโคตรๆ ก่อนหน้านี้หมอแกใช้วิธีนี้รักษาในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง และโรคไตมาก่อนแล้วด้วย OMG

ในสัดส่วนสารอาหารนั้น 90-95% มาจากคาร์โบไฮเดรต โดยให้กินข้าวและผลไม้ จำกัดเกลือไม่ให้ได้รับโซเดียมเกิน 60mg ต่อวัน หลังจากนั้นประมาณเดือนนึง ก็ให้เพิ่มผัก แล้วก็เนื้อไม่ติดมัน แต่ก็ยังทานแคลต่ำอยู่คือไม่เกิน 1000 แคลต่อวัน โซเดียมห้ามเกิน 100mg ต่อวัน ให้ทานพวกวิตามินรวมเสริมเพื่อไม่ให้ขาดสารอาหาร (นี่ยังไม่ขาดอีกเหรอว่ะ 555)

ต้องออกกำลังกายมั้ย ?

การออกกำลังกาย กำหนดให้มีการออกกำลังกายขั้นต่ำด้วย แต่ว่าแต่ละคนจะมีรูปแบบและระดับการออกกำลังกายที่แตกต่างกันออกไป ระหว่างการรักษานั้นเขาให้ผู้ป่วยแต่ละคนอยู่ในโมเตล เช่าห้อง หรืออพาเมนต์ อยู่แถวๆนั้น  ยกเว้นช่วงแรกจะให้เข้ามาอยู่ในคลีนิคที่อยู่ในมหาวิทยาลัย Duke เพื่อวัดค่าต่างๆ

อาหารที่ทานเขาก็จะมีศูนย์กระจายอาหารให้ไปรับมากิน เรียกว่า Rice House ซึ่งก็อยู่ในบริเวณเมืองนั้น โดยเขาก็อยากให้กินในศูนย์ของเขาแหละ แต่หลายคนก็เลือกที่จะเอาไปกินที่อื่นแทน แล้วก็นอกจากนั้นร้านค้าละแวกนั้นจะมีเมนูพิเศษที่ทำตามโปรแกรมของเขาขายอยู่ด้วย

วัดผลยังไง ?

มีการชั่งน้ำหนักทุกวัน มีการตรวจดูค่าคอไรด์และโซเดียมจากฉี่ สัปดาห์ละสองครั้ง ว่ายังอยู่ในโปรแกรมอยู่รึเปล่า (แม่งยังกับโดนจับไปขัง ๕๕) มีการกดดันกันภายในกลุ่มด้วย เพื่อให้ไม่หลุดโปรแกรม ยิ่งอ่านยิ่งสยอง เหมือนพลอตหนังสยองขวัญเข้าไปทุกขณะ ๕๕ ก่อนที่จะเริ่มขนลุกกันกับวิธีการ เราไปดูกันที่ผลดีกว่านะครับ

เคสตัวอย่างรายหนึ่งที่ปรากฎในเอกสาร

ผลที่ได้เนี่ย เฉลี่ยแล้วลดน้ำหนักกันไปได้ 63.9kg  คนที่ลดได้เยอะสุด ลดไป 137kg อัตราระยะเวลาของการลดน้ำหนัก เฉลี่ยอยู่ที่ 0.24kg/วัน ผู้ชายลดได้เฉลี่ยต่อวันมากกว่าผู้หญิง อีกทางนึงก็คือผู้หญิงอยู่ในโปรแกรมนานกว่าผู้ชายด้วย ผู้ชายอยู่ในโปรแกรมเฉลี่ย 261.6 วัน ส่วนผู้หญิง 334.9 วัน

ผลของผู้ป่วยรายหนึ่งหลังจากร่วมโปรแกรมไป 45 สัปดาห์ ลดจาก 100kg มาอยู่ที่ 45kg นะครับ

ส่วนด้านอื่นๆ ความดันลดลง น้ำตาล ไตรกลีเซอไรด์ ขนาดหัวใจ กรดยูริค ลดลง มีแค่ค่าคอเรสเตอรอลที่เท่าเดิม จุดที่น่าสนใจนอกจากการทานแบบที่ว่า คือการรักษาของเขาที่ให้ทุกคนมาอยู่ในเมือง Durham ซึ่งเขาอธิบายว่าสภาพแวดล้อมตอนนั้นมันเหมาะกับการรักษามาก ไม่ใช่แค่แต่ละคนได้หลีกหนีจากความเครียดทางบ้าน​ (มาเครียดที่นี่แทน ๕๕)

เคสตัวอย่างอีกรายหนึ่งที่ปรากฎในเอกสาร

แต่เพราะมีคนมารักษากันมาก ทำให้คนในพื้นที่ ไม่ได้ให้ความสนใจว่าการทานหรือทำอะไรแบบนี้เป็นเรื่องแปลก เพราะทำเหมือนกันเยอะ (ลองนึกถึงเรากินอาหารไม่เหมือนคนอื่นอยู่คนเดียว เดี๋ยวก็มีคนทักๆ บางทีมันก็ทำให้เฟลอยู่) เขาบอกว่าสภาพแวดล้อมและ Motivation มีผลมาก เอาจริงมันก็จริงแหละ ถ้าไม่คิดว่าวิธีการที่ใช้มัน .... เอิ่มไปหน่อย ในยุคนี้

ในตอนหลังการไดเอทของแกก็ได้รับความนิยมลดลง เนื่องจากมีการไดเอทแบบใหม่ๆ เข้ามาแทน วิธีการของแกถึงแม้ว่าจะมีกรณีที่ได้ผล แต่ก็มีกรณีที่ไม่ได้ผลเช่นเดียวกัน (แต่ไม่ได้รายงานในเอกสารฉบับนี้) ส่วนนึงก็เป็นเรื่องของความเบื่อ [2] เพราะอาหารที่ทานมันจำเจมากๆ ปัจจุบันคลีนิคของแกก็ปิดไปนานแล้วอ่ะนะครับ แต่วิธีการนี้ ก็ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับการไดเอทอีกหลายๆวิธี นำไปพัฒนาต่อ ยกตัวอย่างเช่น บางส่วนของ Plant-based diet จากคำกล่าวของ Dr. McDougall [3]

สรุป

นำมาเล่าเพื่อให้ดูว่า ถ้าการทานคาร์บ มันทำให้อ้วน ถ้าการทานคาร์บ มันทำให้ลดความอ้วนไม่ได้ คนที่ลดได้เป็นร้อยคนในงานชิ้นนี้ ก็เป็นผลงานเชิงประจักษ์ว่ามันไม่ได้เกี่ยวกัน ว่าทานคาร์โบไฮเดรต ทานข้าว แล้วจะลดไม่ได้

หลายคนบอกว่าพลังงานอาหาร Calories มันใช้ไม่ได้ เอาจริงๆ วิธีที่แกใช้ก็คือการทานแคลต่ำๆ ถ้ามันใช้ไม่ได้ การทานแคลน้อยๆ น้อยกว่ากิจกรรมที่ทำ น้อยกว่าพลังงานที่ร่างกายใช้ มันก็ลดไม่ได้สิ แต่นี่ก็ลดได้

และจริงๆที่ลดกันได้ไม่ว่าวิธีการไหน จากหลายๆงาน ก็พบว่ามันอธิบายได้ด้วยเรื่องของ Energy balance อยู่ดี เพียงแต่ว่าเรารู้รึเปล่า ว่า Cal in Cal out ของเรามันเท่าไหร่กันแน่

ที่นำงานนี้มาแชร์กัน ไม่ใช่เพราะว่าวิธีการมันโอเคนะครับ เพราะโภชนาการแบบนี้มันทำให้ขาดสารอาหาร ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอเป็นระยะเวลานาน อาจจะมีผลกระทบต่อสุขภาพที่ไม่ต้องการในระยะยาวได้ ก็เอามาเล่าให้ฟังเพลินๆครับ ถ้าเราเข้าใจหลักโภชนาการ ทานอาหารให้เหมาะสม ออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ ค่อยๆทำไปก็โอเคแล้วครับ

อ้างอิง

  1. Kempner W, Newborg BC, Peschel RL, Skyler JS. Treatment of Massive Obesity With Rice/Reduction Diet Program: An Analysis of 106 Patients With at Least a 45-kg Weight Loss. Arch Intern Med. 1975;135(12):1575–1584. https://doi.org/10.1001/archinte.1975.00330120053008
  2. lters S, Schiff W (22 February 2012). Chapter 10: Body Weight and Its Management. Essential Concepts for Healthy Living (Sixth ed.). Jones & Bartlett Publishers. p. 327. ISBN 978-1-4496-3062-1.
  3. McDougall, J. (2022, April 12). Walter Kempner, MD - Founder of the Rice Diet. Dr. McDougall. Retrieved August 5, 2022, from https://www.drmcdougall.com/newsletters/walter-kempner-md-founder-of-the-rice-diet/

GO TOP

🎉 You've successfully subscribed to Fat Fighting!
OK