เคล็ดลับ 10 ข้อสำหรับแก้ปัญหานมแหลมในผู้ชาย

"ไขมันส่วนเกินในร่างกายไม่ว่าจะเป็นบริเวณหน้าอก หรือบริเวณอื่น ๆ ที่เป็นปัญหากับเราอย่างหน้าท้อง บั้นเอว หรือสะโพก เคล็ดลับอันดับหนึ่งในการที่จะแก้ปัญหาก็ยังคงเป็นการทำ calorie deficit ด้วยวิธีที่ทำได้อย่างยั่งยืน"


1 min read
เคล็ดลับ 10 ข้อสำหรับแก้ปัญหานมแหลมในผู้ชาย

แม้จะมีเหตุผลทางการแพทย์บางประการที่ทำให้ผู้ชายบางคนต้องเผชิญกับปัญหาเต้านมมีขนาดใหญ่ขึ้น เช่น Gynecomastia (ภาวะเต้านมโต/นมแหลมในผู้ชาย) แต่หลายคนที่คิดว่าตัวเองเป็น Gynecomastia ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็น Pseudogynecomastia เสียมากกว่า ความแตกต่างก็คือ Gynecomastia ทำให้เกิดการขยายขนาดของเนื้อเยื่อเต้านมในผู้ชาย แต่ Pseudogynecomastia นั้นเกิดจากการสะสมไขมันรอบ ๆ อกโดยมีสาเหตุมาจากการมีไขมันส่วนเกินในระดับที่สูง ดังนั้นจึงจะขอแนะนำวิธีเพื่อช่วยแก้ปัญหา Pseudogynecomastia ทั้งหมด 10 วิธีดังต่อไปนี้

1.ทำ Calorie deficit

เพื่อกำจัดไขมันส่วนเกินในร่างกายออกไป โดยการเผาผลาญไขมันให้มากขึ้นนี้สามารถช่วยแก้ปัญหาได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม เนื่องจากการลดไขมันช่วยลดระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและเพิ่มระดับฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิด Gynecomastia ได้โดยตรง (แต่อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่าคนที่มีปัญหาในเรื่องนี้ส่วนใหญ่จะเป็น Pseudogynecomastia มากกว่า ซึ่งก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการลดไขมันสะสมลงเช่นกัน) ยิ่งไปกว่านั้น ภาวะ Gynecomastia เองก็แนวโน้มที่จะเกิดควบคู่ไปกับการมีไขมันสะสมส่วนเกินในระดับที่สูงอีกด้วย

2.เลือกรูปแบบการคุมอาหารที่สามารถทำได้อย่างยั่งยืน

หลายคนที่ต้องการลดไขมันมักจะเข้มงวดกับตัวเองอย่างมากและพยายามอดอาหาร ซึ่งไม่ใช่วิธีที่ได้ผล สิ่งสำคัญที่ต้องรู้คือ การคุมอาหารจะได้ผลก็ต่อเมื่อเราสามารถทำมันได้ต่อเนื่องในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อจุดที่เรามีปัญหาอยู่เป็นจุดที่ไขมันสะสมมักจะถูกเผาผลาญเป็นลำดับท้ายสุดเช่นนี้ เป็นเหตุผลว่าทำไมรูปแบบการคุมอาหารที่เราใช้จึงควรจะมีความยั่งยืน ตัวอย่างเช่น การคุมอาหารแบบคีโตเจนิกอาจส่งผลให้ลดไขมันได้อย่างชัดเจน แต่ในทางปฏิบัติกลับพบว่าคนส่วนใหญ่จะทำตามการกินแบบคีโตเจนิกได้ดีอย่างต่อเนื่องในระยะเวลาระดับหลายวันหรือหลายสัปดาห์เท่านั้น เมื่อผ่านไปหลายเดือนมักจะเกิดความรู้สึกโหยคาร์โบไฮเดรต ซึ่งความรู้สึกนี้ก็อาจทำให้เกิดการกินแบบไม่ยั้ง แล้วก็ยกเลิกสิ่งที่เคยทำทั้งหมดจนกลับไปเป็นเหมือนเดิม ซึ่งคีโตเป็นเพียงหนึ่งตัวอย่าง ยังมีรูปแบบการคุมอาหารอื่น ๆ ที่อาจจะได้ผลสำหรับบางคนแต่ไม่ใช่วิธีที่ยั่งยืนสำหรับอีกหลายคน

ทางออกคือให้หารูปแบบการคุมอาหารที่เหมาะกับตัวเองที่ทำให้สามารถรักษาระดับของ calorie deficit ไว้ได้โดยที่ยังไม่ขัดกับรูปแบบการใช้ชีวิต ความชอบส่วนตัว และสภาพจิตใจของเรา และควรจะวางแผนการคุมอาหารโดยที่เลี่ยงการทำให้ตัวเองรู้สึกหิวอยู่ตลอดเวลาด้วย เนื่องจากความหิวถือเป็นเหตุผลอันดับต้น ๆ ที่ทำให้การคุมอาหารไม่สำเร็จ

3.อย่าดื่ม calorie

หนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้เรารู้สึกอิ่มจากรูปแบบการคุมอาหารที่ใช้อยู่ก็คือ การที่เรารับพลังงานจากอาหารในรูปแบบที่ต้องผ่านการเคี้ยวแทนรูปแบบของการดื่ม ตัวอย่างเช่น เราสามารถดื่มน้ำหวานที่ให้พลังงาน 200 แคลอรีภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาที แต่การกินอาหารที่ต้องเคี้ยวให้ได้ 200 แคลอรีนั้นใช้เวลานานกว่ามาก นอกจากนี้เครื่องดื่มที่เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตส่วนใหญ่มักจะแทบไม่มีไฟเบอร์เลย ซึ่งไฟเบอร์นั้นเป็นสารอาหารที่มีส่วนสำคัญในการควบคุมความหิวด้วยการช่วยลดการแกว่งของระดับน้ำตาลในเลือด และเพิ่มระยะเวลาที่ร่างกายใช้ในการย่อยอาหาร การคั้นน้ำผักผลไม้ให้เป็นเครื่องดื่มนั้นทำให้สูยเสียไฟเบอร์ไป ซึ่งทำให้ร่างกายใช้เวลาในการย่อยน้อยกว่าผักหรือผลไม้ชนิดเดียวกันที่อยู่ในรูปแบบที่ต้องเคี้ยวอย่างมาก การปั่นผักผลไม้ไม่ได้ทำให้ไฟเบอร์หายไป ดังนั้นการปั่นจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการคั้น

และแม้ว่าน้ำผักผลไม้คั้นอาจจะไม่ค่อยดีนัก แต่ก็มีสิ่งที่อาจจะแย่กว่านั้นเยอะ งานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่าคนที่ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำมีแนวโน้มที่จะน้ำหนักตัวมากกว่าคนที่ไม่ได้ดื่ม แต่ก็อาจจะเป็นข่าวดีเพราะว่าการตัดน้ำอัดลมออกไปจากอาหารที่เรากินอยู่เป็นประจำจะช่วยลดพลังงานที่เราได้รับโดยแทบไม่ต้องพยายามอะไรมากเลย ซึ่งวิธีนี้ใช้ได้กับทั้งคนที่เพิ่งเริ่มลดน้ำหนักและคนที่ต้องการลดน้ำหนักต่อเนื่องในระยะยาว แต่หากรู้สึกโหยน้ำอัดลมหรือน้ำหวานมากจริง ๆ สิ่งที่ควรรู้คือ งานวิจัยได้บอกไว้ว่าการเปลี่ยนจากน้ำอัดลมแบบมีน้ำตาลเป็นแบบใช้สารให้ความหวานทดแทนนั้น มีส่วนทำให้เราได้รับพลังงานจากอาหารลดลงและช่วยในการลดน้ำหนักได้ แม้ว่าสารให้ความหวานเทียมจะถูกทำให้ดูเป็นตัวร้ายในอดีต แต่การทดลองใหม่ ๆ ในมนุษย์พบว่ามันสามารถกินได้อย่างปลอดภัย ตราบใดที่ไม่เกินจากปริมาณที่แนะนำต่อวัน

4. หลีกเลี่ยงการกินหลากหลายเกินไปในมื้อเดียว

เป็นที่เข้าใจได้ว่าความหลากหลายถือเป็นสีสันอย่างหนึ่งของชีวิต แต่ก็ไม่ควรใช้แนวคิดนี้ในทางที่ผิดเนื่องจากเราควรกินให้หลากหลายเพื่อให้ได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์อย่างครบถ้วนมากกว่า ดังนั้นหากโดยปกติในหนึ่งวันเรากินหลายมื้อแต่มีปัญหาในการที่จะลดแคลอรีลง เราก็ควรเลี่ยงที่จะยัดรสชาติทุกอย่างที่อยากกินลงในอาหารแต่ละมื้อเพราว่ามันก็จะไปเพิ่มพลังงานที่ได้รับนั่นเอง โดยวิธีการจำกัดความหลากหลายของอาหารก็เช่น กำหนดให้ในหนึ่งมื้อมีแหล่งโปรตีนเพียงหนึ่งชนิด แหล่งคาร์โบไฮเดรตเพียงหนึ่งชนิด และผักอีกหนึ่งชนิด เป็นต้น ซึ่งจะช่วยลดพลังงานที่ได้รับโดยที่เราไม่ต้องคิดให้ยุ่งยาก ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะ negative feedback loop ในความอยากอาหารของเรานั้นมีความเฉพาะตัว กล่าวคือเราจะไม่รู้สึกอิ่มจนกว่าเราจะไม่มีแรงจูงใจที่จะกินรสชาตินั้น ๆ ต่อ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเวลาที่เรากินบุฟเฟต์จนอิ่มแล้วก็ยังมีพื้นที่เหลือไว้สำหรับของหวานเสมอ ดังนั้นยิ่งอาหารในมื้อนั้นมีรสชาติที่หลากหลายมากเท่าไหร่ ความอยากอาหารของเราก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

แม้แต่มื้อโกง (cheat meal) ก็ยังสามารถใช้กลยุทธ์นี้ได้ เช่นหากเรารู้สึกอยากกินอะไรกรอบ ๆ เราอาจจะใช้วิธีซื้อมันฝรั่งทอดถุงใหญ่ถุงเดียวแทนที่จะซื้อทั้งมันฝรั่งทอด นาโช่ และชีสพัฟรวมกัน เลือกเพียงรสชาติเดียวแล้วที่เหลือก็ไว้สำหรับคราวต่อไป เป็นต้น แม้ว่ากลยุทธ์นี้อาจจะไม่ได้ถึงกับจำเป็น แต่ถ้าเรารู้สึกว่าควบคุมการกินของตัวเองได้ยาก งานวิจัยหลายชิ้นก็ได้แสดงให้เห็นว่าการลดความหลากหลายของรสชาติอาหารในแต่ละมื้อลงสามารถช่วยลดพลังงานที่จะได้รับไปโดยอัตโนมัติ

5.กินอาหารที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ

อ้างอิงจากงานวิจัย แม้ความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างการอักเสบกับการลดน้ำหนักยังไม่เป็นที่เข้าใจอย่างชัดเจนนัก แต่ที่ชัดเจนคือการลดการอักเสบมีความสำคัญต่อการลดน้ำหนักไม่ต่างจากการคุมอาหารและออกกำลังกาย หากเราเป็น Gyno เราจะรู้สึกว่าเต้านมของเราบวมขึ้นและอ่อนนุม ซึ่งโดยทั่วไปแล้วก็เกิดจากการอักเสบนั่นเอง แต่สุดท้ายแล้วไม่ว่าเราจะเป็น Gyno หรือแค่มีไขมันสะสมมากเกินไปก็ตาม การกินอาหารที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบจะช่วยได้อย่างมาก อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้จะช่วยให้เซลล์ของเราต่อสู้กับการรุกรานของอนุมูลอิสระในร่างกายได้

ตัวอย่างของรูปแบบอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงก็เช่น Mediteranian diet อาหารรูปแบบนี้อ้างอิงมาจากสิ่งที่ผู้คนในประเทศอิตาลีและกรีซกินกันในช่วงทศวรรษ 1960 ซึ่งนักวิทยาศาสตร์พบว่าผู้คนเหล่านั้นมีสุขภาพดีกว่าคนอเมริกันในทุกวันนี้มาก และมีความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังน้อยกว่าที่คนอเมริกันมักเป็นกันในยุคนี้ เหตุผลหนึ่งก็คือ Mediteranian diet เต็มไปด้วยอาหารที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบนั่นเอง เช่น ผักผลไม้ ถั่วและธัญพืช สมุนไพร ปลา และน้ำมันมะกอก Extra virgin ในขณะเดียวกันก็จำกัดการกินน้ำตาล อาหารที่ผ่านการขัดสี ไขมันทรานส์ น้ำมันพืชผ่านกระบวนการ เนื้อสัตว์แปรรูป และอาหารแปรรูปสูงอื่น ๆ ซึ่งอาหารเหล่านี้ล้วนเพิ่มการอักเสบนั่นเอง

6.หลีกเลี่ยงอาหารที่จะเพิ่มระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน

ตัวอย่างอาหารที่อาจเพิ่มระดับเอสโตรเจนเช่น ชะเอมเทศ ไขมันทรานส์ และการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป โดยแอลกอฮอล์นั้นมักจะเป็นหนึ่งในปัญหาที่พบได้บ่อย ดั้งนั้นเราควรจะจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์เอาไว้ เนื่องจากแอลกอฮอล์ส่งผลลบหลัก ๆ อยู่สองอย่างเมื่อพูดถึงปัญหานมแหลมในผู้ชาย อันดับแรกคือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ส่วนใหญ่ให้พลังงานสูง โดยเฉพาะเบียร์ซึ่งให้พลังงานประมาณ 144 แคลอรีต่อกระป๋อง สิ่งที่แย่ที่สุดคือพลังงานที่ได้จากมันไม่ได้ช่วยลดระดับความหิวของเราเลย โดยส่วนใหญ่แล้วพวกมันทำให้เราอยากกินอาหารขยะมากขึ้นด้วยซ้ำ ดังนั้นการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปแค่ครั้งเดียวอาจนำไปสู่การที่เราได้รับระเบิดแคลอรีลูกใหญ่ที่ทับลงไปบนอาหารที่เรากินมาตลอดทั้งวันอยู่แล้ว

อันดับต่อมาคือการดื่มแอลกอฮอล์นั้นจะเพิ่มระดับฮอรโมนเอสโตรเจน โดยเฉพาะเมื่อดื่มในปริมาณมาก โดยงานวิจัยได้ชี้ว่าผู้ชายที่ติดแอลกอฮอล์มีระดับฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนที่ต่ำกว่าและระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับผู้ชายที่ไม่ได้ติดแอลกอฮอล์ ต่อให้พวกเขายังมีการทำงานของตับที่เป็นปกติดีก็ตาม เหตุผลของเรื่องนี้ก็คือแอลกอฮอล์ไปกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ อะโรมาเทส (Aromatase) ซึ่งทำหน้าที่แปลงเทสโทสเทอโรนซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชายไปเป็นเอสโตรเจนซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิงนั่นเอง แน่นอนว่าเราจำเป็นต้องควบคุมปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ แต่หากจะดื่มก็ควรเลือกเป็นเหล้าหรือไวน์มากกว่าเบียร์ เพราะว่าเบียร์ส่งผลต่อการเพิ่มเอสโตรเจนมากกว่าจากการที่มีฮอปส์เป็นส่วนประกอบด้วย

7.กินเห็ดสีขาว (White button mushroom)

เห็ดสีขาวนั้นเต็มไปด้วยสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพไม่ว่าจะเป็น สู้กับมะเร็ง ลดระดับคอเลสเตอรอล และปรับปรุงสุขภาพของระบบทางเดินอาหาร อีกทั้งยังช่วยในด้านสุขภาพฮอร์โมนของผู้ชาย ลดความเสี่ยงที่จะเกิด Gynecomastia จากงานวิจัยพบว่าเห็ดสีขาวรวมถึงอาหารเสริมที่สะกัดจากพวกมันช่วยลดระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนด้วยการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์อะโรมาเทสได้

8.ตรวจสอบยาที่เราใช้อยู่

อาหารเสริม ยา หรือแม้แต่สเตียรอยด์ อาจทำให้อาการของ Gyno รุนแรงขึ้นได้ สำหรับสเตียรอยด์นั้นหลายคนใช้มันโดยไม่ได้ควบคู่ไปกับตัวยังยับอะโรสมาเทส (Aromatase Inhibitor, AI) นั่นทำให้มีเทสโทสเทอโรนส่วนเกินปริมาณมหาศาลที่สามารถเปลี่ยนไปเป็นเอสโตรเจน ซึ่งไปจุดชนวนให้เกิด Gynecomastia สถิติจากงานวิจัยบอกว่า จากจำนวน 964 กรณีของผู้ชายที่มีปัญหา Gynecomastia มีสัดส่วน 11% ที่เคยใช้อะนาบอลิคสเตียรอยด์มาก่อน แม้แต่ยาตามใบสั่งแพทย์บางชนิดเองก็อาจทำให้อาการของ Gynecomastia แย่ลงได้เช่นกัน เหตุผลหนึ่งก็คือยาบางชนิดจะไปลดระดับของเทสโทสเทอโรน ซึ่งรบกวนของสมดุลฮอร์โมนระหว่างเทสโทสเทอโรนกับเอสโตรเจน

โดยงานวิจัยของ International Society for Sexual Medicine (ISSM) ของสหรัฐอเมริกาชี้ว่า ยาตามใบสั่งแพทย์บางชนิดเช่น ยาต้านอาอารซึมเศร้า (Antidepressant), โอปิออยด์ (Opioid) และสแตติน (Statin) นั้นสามารถลดระดับเทสโทสเทอโรนลงได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราควรหยุดใช้ยาเหล่านี้ไปเลย (ได้โปรดอย่าทำเช่นนั้น เพราะมีเหตุผลที่ดีที่แพทย์จ่ายยาเหล่านี้ให้เราในตอนแรก) แต่ถ้าเรามีปัญหาจากอาการ Gynecomastia เราก็อาจจะปรึกษากับแพทย์ที่สั่งยาเหล่านี้ให้เราว่ายาเหล่านี้อาจมีส่วนให้อาการ Gynecomastia ของเราแย่ลง เพราะมักจะมีสมุนไพรหรือวิธีการทางธรรมชาติอื่น ๆ ที่สามารถทดแทนยาเหล่านี้โดยไม่ส่งผลข้างเคียง ตัวอย่างเช่น งานวิจัยที่ทดลองเปรียบเทียบผลระหว่างการใช้ยาต้านอาการซึมเศร้ากับการออกกำลังกาย ผลการทดลองพบว่าทั้งคู่ได้ผลพอ ๆ กัน ดังนั้นหากเราใช้ยาซึมเศร้าอยู่โดยที่ไม่ได้ออกกำลังกาย การเริ่มหันมาออกกำลังกายก็อาจจะเป็นความคิดที่ดี แน่นอนว่านี่ไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์ แต่ก็ควรนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับแพทย์ของเราดู

9.ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ที่เราใช้ดูแลร่างกาย

เนื่องจากสารเคมีหลายชนิดที่พบในผลิตภัณฑ์อย่างสบู่อาบน้ำ ลูกกลิ้งดับกลิ่นกาย หรือแชมพู สามารถเข้าสู่ร่างกายของเราผ่านทางรูขุมขนได้ ไม่ต่างจากการที่อาหารเข้าสู่ร่างกายของเราทางปาก และสารเหล่านี้บางชนิดเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วสามารถเลียนแบบผลของเอสโตรเจนที่มีในร่างกาย ตัวอย่างเช่น ทาเลท (Phthalate) ซึ่งมักถูกใช้เป็นสเตบิไลเซอร์และอีมัลซิไฟเออร์ในผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายจำนวนมาก พาราเบน (Paraben) ที่มักใช้ในเครื่องสำอางค์เกือบทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นมอยซ์เจอไรเซอร์ โลชั่น แชมพู หรือแม้แต่ยาสีฟัน เบนโซฟีโนน (Benzophenones) ที่ถูกใช้เป็นยูวีสเตบิไลเซอร์ในผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายหลายชนิดโดยเฉพาะครีมกันแดด และสุดท้าย ไตรโคลซาน (Triclosan) กับ ไตรโคลคาร์แบน (Triclocarban) ซึ่งใช้เป็นสารต้านแบคทีเรียที่พบในสบู่/เจลล้างมือ โลชั่น สบู่กำจัดแบคทีเรีย ฯลฯ

ประเด็นก็คืองานวิจัยแสดงให้เห็นว่าสารเคมีเหล่านี้เพิ่มระดับเอสโตรเจนและลดระดับเทสโทสเทอโรน ดังนั้นจึงควรระวังการรับสารเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายให้น้อยเท่าที่จะเป็นไปได้ อาจจะด้วยการเปลี่ยนไปใช้รูปแบบทของผลิตภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติแทน โดยเราสามารถดูได้จากส่วนประกอบบนฉลากของผลิตภัณฑ์ ซึ่งเดี่ยวนี้ก็มีผลิตภัณฑ์ดูแลร่างหายหลายยี่ห้อที่ใช้ส่วนประกอบมาจากธรรมชาติมากกว่าเคมีสังเคราะห์

10.ตรวจสอบภาชนะที่เราใช้ใส่อาหาร

เนื่องจากบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ใช้ใส่อาหารและเครื่องดื่มนั้นสามารถทำให้เกิดสารเคมีปนเปื้อนเข้ามาในอาหารและเครื่องดื่มได้ หลายชนิดเป็น ซีโนเอสโตรเจน (Xenoestrogen) ซึ่งสามารถจับกับตัวรับเอสโตรเจน (Estrogen receptor) นำไปสู่การเพิ่มลักษณะเพศหญิงซึ่งรวมถึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็น Gyno จากงานวิจัยที่ศึกษาผลกระทบของบรรจุภัณฑ์พลาสติกต่อการทำงานของเอสโตรเจนพบว่า เมื่อเปรียบเทียบระหว่างน้ำดื่มที่ผลิตจากแหล่งเดียวกันที่บรรจุในขวดพลาสติกกับขวดแก้วแล้ว การดื่มน้ำจากขวดพลาสติกทำให้มีการทำงานของฮอร์โมนเอสโตรเจนมากกว่าถึงสามเท่า

ยิ่งไปกว่านั้นยังมีงานวิจัยที่ระบุว่าการสัมผัสกับ BPA ซึ่งใช้กันทั่วไปในบรรจุภัณฑ์พลาสติกนั้นส่งผลต่อการเสื่อมสมรรถภาพในเพศชายอีกด้วย ดังนั้นครั้งต่อไปที่จะซื้ออาหารหรือเครื่องดื่มที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์พลาสติกก็ควรจะเลือกเป็นแก้วหรือสแตนเลสมากกว่า อีกอย่างที่ควรรู้คือการนำอาหารที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์พลาสติกไปอุ่นในไมโครเวฟนั้นยิ่งทำให้ซีโนเอสโตรเจนที่ปนเปื้อนในอาหารเพิ่มมากขึ้น จึงควรหลีกเลี่ยงให้มากเท่าที่จะทำได้

จำไว้ว่าไขมันส่วนเกินในร่างกายไม่ว่าจะเป็นบริเวณหน้าอก หรือบริเวณอื่น ๆ ที่เป็นปัญหากับเราอย่างหน้าท้อง บั้นเอว หรือสะโพก เคล็ดลับอันดับหนึ่งในการที่จะแก้ปัญหาก็ยังคงเป็นการทำ calorie deficit ด้วยวิธีที่ทำได้อย่างยั่งยืน เราอาจจะแบกเหยือกแก้วเอาไว้สำหรับใส่น้ำดื่ม หรือใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายที่มาจากธรรมชาติล้วน ๆ โดยที่ยังมีไขมันส่วนเกินที่หน้าอกอยู่ดี ตราบใดที่ยังไม่เจอรูปแบบการกคุมอาหารและการออกกำลังกายที่ถูกต้อง เราก็จะพลาดหัวใจสำคัญในการที่จะแก้ปัญหาเรื่องรูปลักษณ์ของหน้าอกเราไป

ที่มาภาพประกอบ: Heart photo created by user18526052 - www.freepik.com

ที่มาของบทความ: 2Fi: Finance & Fitness Blockdit

แปลจาก: "10 Tips to Lose Man Boobs Fast"

สนใจเทรนออนไลน์โดยออกแบบโปรแกรมออกกำลังกายและแนะนำโภชนาการเบื้องต้นให้เหมาะสมกับเป้าหมายด้านสุขภาพหรือด้านรูปร่างเฉพาะตัว รวมถึงให้คำปรึกษาตลอดระยะเวลาที่อยู่ในโปรแกรม (มีใบรับรอง NBCC จากสมาคมเพาะกายและฟิตเนสแห่งประเทศไทย) สามารถดูรายละเอียดบริการได้ที่ https://www.facebook.com/2fifinancefitness/services

GO TOP

🎉 You've successfully subscribed to Fat Fighting!
OK